คดีที่สะเทือนความรู้สึกมากๆ คดีหนึ่งของคนอเมริกันและชาวลอสแองเจลิส เมื่อปี 1994 นั่นคือ O. J. Simpson นักอเมริกันฟุตบอลชื่อดังในขณะนั้น ถูกกล่าวหาว่าฆาตกรรม นิโคล บราวน์ ซิมสัน Nicole Brown Simpson ภรรยาเก่าของเขา และ เพื่อนชายของเธอ โรนัลด์ โกลด์แมน Ronald Goldman
ตลอดชีวิตนักกีฬา ซิมป์สันทำสติถิการวิ่งไว้ 11,236 ยาร์ด ได้รับรางวัล All-Pro Honor 5 ครั้ง ได้รับเลือกให้เข้าร่วม Pro-Bowl 6 หนปี 1978 เขาเซ็นสัญญาย้ายไปอยู่ San Francisco 49ers หากในปีถัดมาเมื่อวันที่ 23 มกราคม 1979 ก็ประกาศถอนตัวจากการเป็นนักกีฬาอเมริกันฟุตบอล และในปี 1985 ก็ได้รับเลือกให้มีชื่อยู่ใน The Pro Football Hall of Fame
ซิมป์สันแต่งงานครั้งแรกกับ Marguerite L. Whitley เมื่อปี 1967 ทั้งสองมีลูกด้วยกัน 3 คนซึ่งลูกสาวคนเล็กจมน้ำตายในสระน้ำที่บ้านก่อนจะอายุครบสองปี และซิมป์สันก็หย่าขาดจากมาเกอริทในปี 1979
ปี 1985 ซิมป์สันแต่งงานใหม่กับ Nicole Brown พวกเขามีลูกด้วยกัน2 คน ปี 1989 ซิมป์สันถูกฟ้องในคดีใช้ความรุนแรงในครอบครัวและแยกกันอยู่กับนิโคลเป็นเวลาหลายปี ก่อนจะหย่าขาดจากในกันในปี 1992 และในวันที่ 13 มิถุนายน 1994 นิโคล บราวน์ และโรนัลด์ โกลด์แมน(Ronald Goldman) เพื่อนของเธอก็ถูกพบเป็นศพถูกแทงเสียชีวิตที่บ้านพักของนิโคลในเขตบันดี้ไดรว์เบนต์วู้ด รัฐแคลิฟอร์เนีย จากหลักฐานที่พบในที่เกิดเหตุทำให้ตำรวจเชื่อว่าโอเจ ซิมป์สันนี่เองที่เป็นคนร้ายในคดี ขณะนั้นซิมป์สันอยู่ที่ชิคาโก้ ซึ่งเมื่อได้รับการติดต่อจากตำรวจ เขาก็ขึ้นเครื่องมายังแคลิฟอร์เนีย ทันทีที่เขาลงจากเครื่องบิน เขาก็ถูกใส่กุญแจมือทันควัน หากโดยความช่วยเหลือของฮาวาร์ด ไวส์แมนซึ่งเป็นทนายประจำตัวก็ทำให้ซิมป์สันได้รับการปล่อยตัวในไม่ช้า
ในตอนแรก ซิมป์สันยังจัดการเรื่องราวต่างๆด้วยท่าทีใจเย็น แต่แล้วในวันที่ 17 มิถุนายน เขาก็ขับรถหนีไปตามแคลิฟอร์เนียไฮเวย์โดยที่มีรถตำรวจขับไล่จี้มาและถูกจับในท้ายที่สุดในฐานะนักโทษคดีฆาตกรรมระดับ 1 การไล่ล่าดังกล่าวนี้ถูกถ่ายทอดสดออกโทรทัศน์และผู้ชมบางคนถึงกับส่งเสียงเชียร์ซิมป์สัน กระทั่งการแข่ง NBA Finals ก็ยังถูกลืมเลือนไปในขณะที่ผู้ชมเฝ้าติดตามการไล่ล่านี้อย่างใกล้ชิด
การขึ้นศาลอาญาของซิมป์สันเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายนซึ่งซิมป์สันยืนกรานว่าตัวเองบริสุทธิ์ 100%ที่น่าสนใจก็คือทั้งฝ่ายทนายจำเลยและฝ่ายอัยการต่างก็ถูกคัดสรรมาจากผู้เชี่ยวชาญด้านกฏหมายทั่วอเมริกาจนศาลนี้ถูกยกให้เป็นคดีแห่งยุค และไม่ว่าจะมองจากสายตาใคร ต่างก็เห็นได้ว่าฝ่ายทนายจำเลยซึ่งถูกตั้งฉายาว่า"ดรีมทีม"นั้นยิ่งมีคุณภาพสูงยิ่งกว่าฝ่ายอัยการเสียอีก แต่ละคนต่างก็เคยรับผิดชอบในคดีที่มีชื่อเสียงของอเมริกามาแล้วทั้งสิ้น ซึ่งซิมป์สันต้องจ่ายค่าใช้จ่าย 4 ล้านดอลล่าร์เป็นค่าทนายในคดีนี้
ฝ่ายอัยการ
- มาร์เซีย คลาร์ก (หัวหน้าทีม)
- กิล การ์เซ็จ
- วิลเลี่ยม ฮอจแมน
- คริสโตเฟอร์ ดาร์เดน
- ไบรอัน เคลเบิร์ก
- ลิซ่า คานส์
นอกจากนี้ ฝ่ายทนายยังเรียกร้องให้คัดตัวคณะลูกขุนจากเขตที่มีผู้อาศัยเป็นคนผิวดำในเปอร์เซนต์ที่มากกว่า และยังใช้สิทธิ์พิเศษในการปฏิเสธ (สิทธิ์ที่ถูกยอมรับให้ใช้ได้ทั้งฝ่ายทนายจำเลยและอัยการ ให้สามารถคัดตัวบุคคลที่ถูกเลือกมาเป็นลูกขุนออกโดยไม่ต้องแจ้งเหตุผลในจำนวนครั้งที่กำหนดไว้) ทำให้ในคณะลูกขุน 12 คนนั้นเป็นคนผิวดำถึง 9 คน
เนื่องจากคดีดังกล่าวได้รับความสนใจจากคนทั่วไปเป็นอย่างมาก ระหว่างการขึ้นศาลนี้ คณะลูกขุนจึงถูกกักตัวอยู่ในโรงแรม และถูกห้ามไม่ให้อ่านหนังสือพิมพ์หรือดูทีวีได้
มีการหยิบยกคดีนี้ขึ้นมากล่าวผ่านสื่อต่างๆโดยเฉพาะโทรทัศน์กันอย่างกว้างขวาง ทีมอัยการนำเสนอบันทึกโทรศัพท์ที่นิโคลโทรไปขอความช่วยเหลือจากตำรวจเมื่อ 1 มกราคม 1989 และรอยเท้ากับลายนิ้วมือจำนวนมากในที่เกิดเหตุเพื่อชี้ให้เห็นว่าซิมป์สันฆ่านิโคลเพราะความหึงหวง และเขาอยู่ในที่เกิดเหตุในคืนที่นิโคลถูกฆ่า
ในทางกลับกัน ฝ่ายทนายจำเลยชี้ให้เห็นว่าซิมป์สันเป็นเพียงแพะรับบาปของตำรวจ และหลักฐาน DNA ที่ถูกนำเสนอมานั้นถูกมาร์ค เฟิรแมนซึ่งเป็นสารวัตรผู้รับผิดชอบที่เกิดเหตุ (เป็นที่รู้จักกันดีว่ารังเกียจคนผิวดำ) ทำการปลอมแปลงหลักฐานจนไม่สามารถเชื่อถือได้ ซึ่งในจุดนี้เองที่กลายมาเป็นอาวุธสำคัญของฝ่ายดรีมทีม พวกเขาแจกแจงความไม่น่าเชื่อถือของหลักฐานจากฝ่ายอัยการและดึงให้คดีกลายเป็นเรื่องของการเหยียดสีผิว
หลักฐานอันอื้อฉาวอีกชิ้นของคดีนี้ก็คือถุงมือหนังเปื้อนเลือดที่พบในที่เกิดเหตุ ในการขึ้นศาลเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 1995 คอชรันพยายามกระตุ้นให้ดาร์เดนนำถุงมือดังกล่าวมาให้ซิมป์สันลองสวม ซึ่งในข้อนี้ ฝ่ายอัยการได้ตัดสินใจแต่เนิ่นๆแล้วที่จะไม่ทำเช่นนั้น เพราะถุงมือนั้นโชกไปด้วยเลือด ซ้ำยังยับเยินจากการเก็บหลักฐานหลายครั้งหลายหน (แช่แข็งแล้วก็ละลายน้ำแข็ง) ดาร์เดนถูกกำชับจากผู้เชี่ยวชาญว่าต้องไม่ให้ซิมป์สันลองถุงมือแม้ว่ามันน่าจะพอดีมือของเขาในสภาพที่ดีกว่านี้ หากหลังจากการโต้เถียงในกลุ่มอัยการ ดาร์เดนก็ใช้อำนาจในการตัดสินของตัวเอง นำถุงมือมาให้ซิมป์สันลองสวม
ผลปรากฏว่ามันเล็กเกินไปสำหรับมือซิมป์สัน
ทนายจำเลยไม่ปล่อยให้โอกาสทองหลุดรอดไป คอชรันไม่เพียงแต่จะอ้างความไม่น่าเชื่อถือของถุงมือนี้เท่านั้น เขายังโยงมันไปถึงหลักฐานอีกหลายชิ้นของฝ่ายอัยการอีกด้วย
จากการสำรวจความคิดเห็นของชาวอเมริกา ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันส่วนมากเชื่อว่าซิมป์สันไม่ได้ก่อคดีนี้จริงและเชื่อว่าคำตัดสินอาจกลายเป็นการส่งเสริมอำนาจอันไม่เที่ยงธรรมของตำรวจต่อผู้ต้องหา ในขณะที่คนผิวขาวจำนวนมากในแบบสำรวจเดียวกันเชื่อว่าซิมป์สันกระทำผิดจริง
ความขัดแย้งระหว่างสีผิวคุกรุ่นอยู่เบื้องหลังการดำเนินคดีจนมีการเกรงว่าจะเกิดการจลาจลระหว่างสีผิวเช่นเดียวกับที่เคยเกิดในปี 1992*(อ่านรายละเอียดได้ข้างล่างค่ะ)
วันที่ 3 ตุลาคม 1995 เพียง 3 ชั่วโมงหลังการประชุมของคณะลูกขุน ซิมป์สันก็ถูกประกาศต่อหน้าชาวอเมริกัน 150 ล้านคนหน้าจอทีวีว่า "ไม่มีความผิด"
แต่ถึงแม้ว่าซิมป์สันจะรอดจากคดีอาญามาได้ เขาก็ยังถูกฟ้องต่อในคดีแพ่งของโรนัลด์ โกลด์แมน (เฟรด โกลด์แมน พ่อของโรนัลด์เป็นผู้ฟ้อง) มาคราวนี้สถานภาพทางการเงินของซิมป์สันเริ่มคลอนแคลนทำให้เขาไม่สามารถจ้างจอห์นนี่ คอชรันมาเป็นทนายต่อได้ เพื่อนของคอชรันจึงเข้ามารับผิดชอบคดีแทน จะอย่างไรก็ดี จากการที่ไม่มีการนำปัญหาการเหยียดสีผิวมาเป็นอาวุธในศาล การที่คณะลูกขุนเป็นคนผิวขาวมากกว่าคนผิวดำ และการที่ซิมป์สันไม่มาให้การในศาล เขาแพ้คดีแพ่งในที่สุด ซิมป์สันถูกตัดสินให้จ่ายค่าชดเชยให้กับครอบครัวโกลด์แมนรวมเป็นเงิน 8,500,000 ดอลล่าร์ หากเขาก็ไม่มีกำลังทรัพย์พอจะจ่ายได้ ซิมป์สันต้องขายคฤหาสน์ของตนเพื่อรวบรวมเงินมาและสิ้นเนื้อประดาตัวในที่สุด
Orenthal James "O.J." Simpson เกิดเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 1947 โดยทั่วไปรู้จักกันในชื่อโอเจ (O.J. ศัพท์แสลงอเมริกาจะหมายถึงน้ำส้ม โอเจก็เลยมีชื่อเล่นว่า The Juice ด้วย) ซิมป์สันมีช่วงชีวิตอันรุ่งเรืองที่สุดในขณะที่เขาเป็นนักกีฬาอเมริกันฟุตบอล ในขณะที่เขายังอยู่ในทีมของมหาวิทยาลัย เขาก็ได้รับรางวัล The Heisman Trophy, The Maxwell Award และThe Walter Camp Award ในปี 1968 ซึ่งเมื่อเรียนจบในปี 1969ชื่อของเขาก็เป็นชื่อแรกที่ถูกชี้ตัวในการคัดสรรตัวนักกีฬาของ NFL
NFL ใช้ระบบให้ทีมที่ทำคะแนนไว้ต่ำที่สุดมีสิทธิ์ก่อนในการเลือกนักกีฬาเข้าทีม ซิมป์สันจึงกลายมาเป็นนักกีฬาของ Buffalo Bills ซึ่งเป็นทีมที่อ่อนแอที่สุดในเวลานั้น (ผลการแข่งในปีก่อน ชนะ1 แพ้12 เสมอ1) ปี 1973 ซิมป์สันทำลายสติถิด้วยระยะการวิ่ง 2003 ยาร์ดและเขาก็เป็นนักกีฬาเพียงคนเดียวจนทุกวันนี้ที่วิ่งมากกว่า 2000 ยาร์ดในการแข่งติดต่อกัน 14 นัด ชื่อของเขาโดดเด่นขึ้นมาในฐานะนักกีฬา MVP และกลายมาเป็นทีมบุกที่แข็งแกร่งที่สุด บัฟฟาโลบิลส์ยังคงทำคะแนนการแข่งได้ไม่ดีนัก แต่ก็มีซิมป์สันนี่เองที่เป็นตัวเรียกแฟนเอาไว้
NFL ใช้ระบบให้ทีมที่ทำคะแนนไว้ต่ำที่สุดมีสิทธิ์ก่อนในการเลือกนักกีฬาเข้าทีม ซิมป์สันจึงกลายมาเป็นนักกีฬาของ Buffalo Bills ซึ่งเป็นทีมที่อ่อนแอที่สุดในเวลานั้น (ผลการแข่งในปีก่อน ชนะ1 แพ้12 เสมอ1) ปี 1973 ซิมป์สันทำลายสติถิด้วยระยะการวิ่ง 2003 ยาร์ดและเขาก็เป็นนักกีฬาเพียงคนเดียวจนทุกวันนี้ที่วิ่งมากกว่า 2000 ยาร์ดในการแข่งติดต่อกัน 14 นัด ชื่อของเขาโดดเด่นขึ้นมาในฐานะนักกีฬา MVP และกลายมาเป็นทีมบุกที่แข็งแกร่งที่สุด บัฟฟาโลบิลส์ยังคงทำคะแนนการแข่งได้ไม่ดีนัก แต่ก็มีซิมป์สันนี่เองที่เป็นตัวเรียกแฟนเอาไว้
ตลอดชีวิตนักกีฬา ซิมป์สันทำสติถิการวิ่งไว้ 11,236 ยาร์ด ได้รับรางวัล All-Pro Honor 5 ครั้ง ได้รับเลือกให้เข้าร่วม Pro-Bowl 6 หนปี 1978 เขาเซ็นสัญญาย้ายไปอยู่ San Francisco 49ers หากในปีถัดมาเมื่อวันที่ 23 มกราคม 1979 ก็ประกาศถอนตัวจากการเป็นนักกีฬาอเมริกันฟุตบอล และในปี 1985 ก็ได้รับเลือกให้มีชื่อยู่ใน The Pro Football Hall of Fame
ซิมป์สันแต่งงานครั้งแรกกับ Marguerite L. Whitley เมื่อปี 1967 ทั้งสองมีลูกด้วยกัน 3 คนซึ่งลูกสาวคนเล็กจมน้ำตายในสระน้ำที่บ้านก่อนจะอายุครบสองปี และซิมป์สันก็หย่าขาดจากมาเกอริทในปี 1979
ปี 1985 ซิมป์สันแต่งงานใหม่กับ Nicole Brown พวกเขามีลูกด้วยกัน2 คน ปี 1989 ซิมป์สันถูกฟ้องในคดีใช้ความรุนแรงในครอบครัวและแยกกันอยู่กับนิโคลเป็นเวลาหลายปี ก่อนจะหย่าขาดจากในกันในปี 1992 และในวันที่ 13 มิถุนายน 1994 นิโคล บราวน์ และโรนัลด์ โกลด์แมน(Ronald Goldman) เพื่อนของเธอก็ถูกพบเป็นศพถูกแทงเสียชีวิตที่บ้านพักของนิโคลในเขตบันดี้ไดรว์เบนต์วู้ด รัฐแคลิฟอร์เนีย จากหลักฐานที่พบในที่เกิดเหตุทำให้ตำรวจเชื่อว่าโอเจ ซิมป์สันนี่เองที่เป็นคนร้ายในคดี ขณะนั้นซิมป์สันอยู่ที่ชิคาโก้ ซึ่งเมื่อได้รับการติดต่อจากตำรวจ เขาก็ขึ้นเครื่องมายังแคลิฟอร์เนีย ทันทีที่เขาลงจากเครื่องบิน เขาก็ถูกใส่กุญแจมือทันควัน หากโดยความช่วยเหลือของฮาวาร์ด ไวส์แมนซึ่งเป็นทนายประจำตัวก็ทำให้ซิมป์สันได้รับการปล่อยตัวในไม่ช้า
ในตอนแรก ซิมป์สันยังจัดการเรื่องราวต่างๆด้วยท่าทีใจเย็น แต่แล้วในวันที่ 17 มิถุนายน เขาก็ขับรถหนีไปตามแคลิฟอร์เนียไฮเวย์โดยที่มีรถตำรวจขับไล่จี้มาและถูกจับในท้ายที่สุดในฐานะนักโทษคดีฆาตกรรมระดับ 1 การไล่ล่าดังกล่าวนี้ถูกถ่ายทอดสดออกโทรทัศน์และผู้ชมบางคนถึงกับส่งเสียงเชียร์ซิมป์สัน กระทั่งการแข่ง NBA Finals ก็ยังถูกลืมเลือนไปในขณะที่ผู้ชมเฝ้าติดตามการไล่ล่านี้อย่างใกล้ชิด
การขึ้นศาลอาญาของซิมป์สันเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายนซึ่งซิมป์สันยืนกรานว่าตัวเองบริสุทธิ์ 100%ที่น่าสนใจก็คือทั้งฝ่ายทนายจำเลยและฝ่ายอัยการต่างก็ถูกคัดสรรมาจากผู้เชี่ยวชาญด้านกฏหมายทั่วอเมริกาจนศาลนี้ถูกยกให้เป็นคดีแห่งยุค และไม่ว่าจะมองจากสายตาใคร ต่างก็เห็นได้ว่าฝ่ายทนายจำเลยซึ่งถูกตั้งฉายาว่า"ดรีมทีม"นั้นยิ่งมีคุณภาพสูงยิ่งกว่าฝ่ายอัยการเสียอีก แต่ละคนต่างก็เคยรับผิดชอบในคดีที่มีชื่อเสียงของอเมริกามาแล้วทั้งสิ้น ซึ่งซิมป์สันต้องจ่ายค่าใช้จ่าย 4 ล้านดอลล่าร์เป็นค่าทนายในคดีนี้
ฝ่ายอัยการ
- มาร์เซีย คลาร์ก (หัวหน้าทีม)
- กิล การ์เซ็จ
- วิลเลี่ยม ฮอจแมน
- คริสโตเฟอร์ ดาร์เดน
- ไบรอัน เคลเบิร์ก
- ลิซ่า คานส์
"ดรีมทีม" ทนายฝ่ายจำเลย
- จอห์นนี่ คอชรัน (หัวหน้าทีม - ผู้เชี่ยวชาญคดีเหยียดสีผิวอันดับหนึ่งของอเมริกา เคยรับผิดชอบคดีไมเคิ่ล แจ็คสัน)
- เฮนรี่ ลี (นักวิชาการแพทย์ศาสตร์ชาวจีน เคยรับผิดชอบคดีลอบสังหารจอห์น F. เคเนดี้ และคดีฆาตกรรมจอนเบเน็ต)
- โรเบิร์ต ชาปีโร (มีชื่อเสียงว่าเป็นทนายอันดับหนึ่งของอเมริกา เคยรับผิดชอบคดีดาราหลายคดี)
- บาร์รี่ เชค (นักวิชาการด้านการวิเคราะห์ DNA)
- ปีเตอร์ นิวฟิลด์ (นักวิชาการด้านการวิเคราะห์ DNA)
- เจรัลด์ วูลเมน (คหบดีคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยซานต้าคราล่า)
- ฟรานซิส ลี เบย์เลย์ (เคยรับผิดชอบคดีอลิซาเบธ เฮิร์สต)
- อลัน เดอร์โชวิทซ์ (นักวิชาการกฏหมายมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด เคยรับผิดชอบคดีไมค์ ไทสัน)
- ไมเคิ่ล บาร์เดน (อดีตอัยการนิวยอร์ค เคยรับผิดชอบการผ่าศพบาทหลวงคิงก์)
และจากการที่โจกท์เป็นคนผิวขาวและจำเลยเป็นคนผิวดำ ทำให้ปัญหาเรื่องสีผิวถูกยกขึ้นมาเป็นประเด็นสำคัญอย่างหนึ่งของคดี และเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความไม่ยุติธรรมขึ้นในภายหลัง แลนซ์ อิโต้ซึ่งเป็นชาวอเมริกาเชื้อสายญี่ปุ่นจึงถูกเลือกขึ้นมาเป็นผู้พิพากษาของคดี
- เฮนรี่ ลี (นักวิชาการแพทย์ศาสตร์ชาวจีน เคยรับผิดชอบคดีลอบสังหารจอห์น F. เคเนดี้ และคดีฆาตกรรมจอนเบเน็ต)
- โรเบิร์ต ชาปีโร (มีชื่อเสียงว่าเป็นทนายอันดับหนึ่งของอเมริกา เคยรับผิดชอบคดีดาราหลายคดี)
- บาร์รี่ เชค (นักวิชาการด้านการวิเคราะห์ DNA)
- ปีเตอร์ นิวฟิลด์ (นักวิชาการด้านการวิเคราะห์ DNA)
- เจรัลด์ วูลเมน (คหบดีคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยซานต้าคราล่า)
- ฟรานซิส ลี เบย์เลย์ (เคยรับผิดชอบคดีอลิซาเบธ เฮิร์สต)
- อลัน เดอร์โชวิทซ์ (นักวิชาการกฏหมายมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด เคยรับผิดชอบคดีไมค์ ไทสัน)
- ไมเคิ่ล บาร์เดน (อดีตอัยการนิวยอร์ค เคยรับผิดชอบการผ่าศพบาทหลวงคิงก์)
และจากการที่โจกท์เป็นคนผิวขาวและจำเลยเป็นคนผิวดำ ทำให้ปัญหาเรื่องสีผิวถูกยกขึ้นมาเป็นประเด็นสำคัญอย่างหนึ่งของคดี และเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความไม่ยุติธรรมขึ้นในภายหลัง แลนซ์ อิโต้ซึ่งเป็นชาวอเมริกาเชื้อสายญี่ปุ่นจึงถูกเลือกขึ้นมาเป็นผู้พิพากษาของคดี
นอกจากนี้ ฝ่ายทนายยังเรียกร้องให้คัดตัวคณะลูกขุนจากเขตที่มีผู้อาศัยเป็นคนผิวดำในเปอร์เซนต์ที่มากกว่า และยังใช้สิทธิ์พิเศษในการปฏิเสธ (สิทธิ์ที่ถูกยอมรับให้ใช้ได้ทั้งฝ่ายทนายจำเลยและอัยการ ให้สามารถคัดตัวบุคคลที่ถูกเลือกมาเป็นลูกขุนออกโดยไม่ต้องแจ้งเหตุผลในจำนวนครั้งที่กำหนดไว้) ทำให้ในคณะลูกขุน 12 คนนั้นเป็นคนผิวดำถึง 9 คน
เนื่องจากคดีดังกล่าวได้รับความสนใจจากคนทั่วไปเป็นอย่างมาก ระหว่างการขึ้นศาลนี้ คณะลูกขุนจึงถูกกักตัวอยู่ในโรงแรม และถูกห้ามไม่ให้อ่านหนังสือพิมพ์หรือดูทีวีได้
มีการหยิบยกคดีนี้ขึ้นมากล่าวผ่านสื่อต่างๆโดยเฉพาะโทรทัศน์กันอย่างกว้างขวาง ทีมอัยการนำเสนอบันทึกโทรศัพท์ที่นิโคลโทรไปขอความช่วยเหลือจากตำรวจเมื่อ 1 มกราคม 1989 และรอยเท้ากับลายนิ้วมือจำนวนมากในที่เกิดเหตุเพื่อชี้ให้เห็นว่าซิมป์สันฆ่านิโคลเพราะความหึงหวง และเขาอยู่ในที่เกิดเหตุในคืนที่นิโคลถูกฆ่า
ในทางกลับกัน ฝ่ายทนายจำเลยชี้ให้เห็นว่าซิมป์สันเป็นเพียงแพะรับบาปของตำรวจ และหลักฐาน DNA ที่ถูกนำเสนอมานั้นถูกมาร์ค เฟิรแมนซึ่งเป็นสารวัตรผู้รับผิดชอบที่เกิดเหตุ (เป็นที่รู้จักกันดีว่ารังเกียจคนผิวดำ) ทำการปลอมแปลงหลักฐานจนไม่สามารถเชื่อถือได้ ซึ่งในจุดนี้เองที่กลายมาเป็นอาวุธสำคัญของฝ่ายดรีมทีม พวกเขาแจกแจงความไม่น่าเชื่อถือของหลักฐานจากฝ่ายอัยการและดึงให้คดีกลายเป็นเรื่องของการเหยียดสีผิว
หลักฐานอันอื้อฉาวอีกชิ้นของคดีนี้ก็คือถุงมือหนังเปื้อนเลือดที่พบในที่เกิดเหตุ ในการขึ้นศาลเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 1995 คอชรันพยายามกระตุ้นให้ดาร์เดนนำถุงมือดังกล่าวมาให้ซิมป์สันลองสวม ซึ่งในข้อนี้ ฝ่ายอัยการได้ตัดสินใจแต่เนิ่นๆแล้วที่จะไม่ทำเช่นนั้น เพราะถุงมือนั้นโชกไปด้วยเลือด ซ้ำยังยับเยินจากการเก็บหลักฐานหลายครั้งหลายหน (แช่แข็งแล้วก็ละลายน้ำแข็ง) ดาร์เดนถูกกำชับจากผู้เชี่ยวชาญว่าต้องไม่ให้ซิมป์สันลองถุงมือแม้ว่ามันน่าจะพอดีมือของเขาในสภาพที่ดีกว่านี้ หากหลังจากการโต้เถียงในกลุ่มอัยการ ดาร์เดนก็ใช้อำนาจในการตัดสินของตัวเอง นำถุงมือมาให้ซิมป์สันลองสวม
ผลปรากฏว่ามันเล็กเกินไปสำหรับมือซิมป์สัน
ทนายจำเลยไม่ปล่อยให้โอกาสทองหลุดรอดไป คอชรันไม่เพียงแต่จะอ้างความไม่น่าเชื่อถือของถุงมือนี้เท่านั้น เขายังโยงมันไปถึงหลักฐานอีกหลายชิ้นของฝ่ายอัยการอีกด้วย
จากการสำรวจความคิดเห็นของชาวอเมริกา ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันส่วนมากเชื่อว่าซิมป์สันไม่ได้ก่อคดีนี้จริงและเชื่อว่าคำตัดสินอาจกลายเป็นการส่งเสริมอำนาจอันไม่เที่ยงธรรมของตำรวจต่อผู้ต้องหา ในขณะที่คนผิวขาวจำนวนมากในแบบสำรวจเดียวกันเชื่อว่าซิมป์สันกระทำผิดจริง
ความขัดแย้งระหว่างสีผิวคุกรุ่นอยู่เบื้องหลังการดำเนินคดีจนมีการเกรงว่าจะเกิดการจลาจลระหว่างสีผิวเช่นเดียวกับที่เคยเกิดในปี 1992*(อ่านรายละเอียดได้ข้างล่างค่ะ)
วันที่ 3 ตุลาคม 1995 เพียง 3 ชั่วโมงหลังการประชุมของคณะลูกขุน ซิมป์สันก็ถูกประกาศต่อหน้าชาวอเมริกัน 150 ล้านคนหน้าจอทีวีว่า "ไม่มีความผิด"
แต่ถึงแม้ว่าซิมป์สันจะรอดจากคดีอาญามาได้ เขาก็ยังถูกฟ้องต่อในคดีแพ่งของโรนัลด์ โกลด์แมน (เฟรด โกลด์แมน พ่อของโรนัลด์เป็นผู้ฟ้อง) มาคราวนี้สถานภาพทางการเงินของซิมป์สันเริ่มคลอนแคลนทำให้เขาไม่สามารถจ้างจอห์นนี่ คอชรันมาเป็นทนายต่อได้ เพื่อนของคอชรันจึงเข้ามารับผิดชอบคดีแทน จะอย่างไรก็ดี จากการที่ไม่มีการนำปัญหาการเหยียดสีผิวมาเป็นอาวุธในศาล การที่คณะลูกขุนเป็นคนผิวขาวมากกว่าคนผิวดำ และการที่ซิมป์สันไม่มาให้การในศาล เขาแพ้คดีแพ่งในที่สุด ซิมป์สันถูกตัดสินให้จ่ายค่าชดเชยให้กับครอบครัวโกลด์แมนรวมเป็นเงิน 8,500,000 ดอลล่าร์ หากเขาก็ไม่มีกำลังทรัพย์พอจะจ่ายได้ ซิมป์สันต้องขายคฤหาสน์ของตนเพื่อรวบรวมเงินมาและสิ้นเนื้อประดาตัวในที่สุด
ขอบคุณ WIKIPEDIA และ คุณหมอ วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี สำหรับข้อมูลดีๆ ค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น